เหล็ก H-Beam: วัสดุโครงสร้างหลักที่แข็งแรง ทนทาน และใช้งานหลากหลาย
ขนาด (มม.) HxB | สัดส่วนมาตรฐาน (มม.) |
---|
t1 | t2 |
---|
เหล็กเอชบีม ขนาด 100x100 มม. | 6.0 | 8.0 |
เหล็กเอชบีม ขนาด 125x125 มม. | 6.5 | 9.0 |
เหล็กเอชบีม ขนาด 150x150 มม. | 7.0 | 10.0 |
เหล็กเอชบีม ขนาด 175x175 มม. | 7.5 | 11.0 |
เหล็กเอชบีม ขนาด 200x200 มม. | 8.0 | 12.0 |
เหล็กเอชบีม ขนาด 250x250 มม. | 9.0 | 14.0 |
เหล็กเอชบีม ขนาด 300x300 มม. | 10.0 | 15.0 |
เหล็กเอชบีม ขนาด 350x350 มม. | 12.0 | 19.0 |
เหล็กเอชบีม ขนาด 400x400 มม. | 13.0 | 21.0 |
| | |
เหล็ก H-Beam คืออะไร?
เหล็ก H-Beam คือเหล็กรูปพรรณรีดร้อนที่มีหน้าตัดคล้ายตัว "H" โดยมีแผ่นเหล็กแนวตั้ง (web) และแนวนอน (flange) ทั้งบนและล่าง รับน้ำหนักได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอนอย่างมีประสิทธิภาพ

หมายเหตุ: H-Beam นิยมใช้ในโครงสร้างขนาดใหญ่ เช่น อาคารสูง สะพาน และโรงงาน
เหล็ก H-Beam มีกี่ประเภท?
- H-Beam มาตรฐาน: ตามมาตรฐาน JIS, ASTM, มอก.
- H-Beam หนักพิเศษ (Wide Flange): Flange หนาและกว้าง ใช้งานรับโหลดมาก
- H-Beam รีดร้อน: ผลิตด้วยกระบวนการรีดร้อน แข็งแรง
- H-Beam เชื่อมประกอบ: เชื่อมจากแผ่นเหล็ก เหมาะกับขนาดพิเศษ
เหล็ก H-Beam ใช้ทำอะไรได้บ้าง?
- โครงสร้างอาคาร: คานหลัก เสา โครงหลังคา
- สะพาน/โครงสร้างใหญ่: คานสะพาน รับน้ำหนักหลัก
- ฐานเครื่องจักร: รองรับน้ำหนักเครื่องขนาดใหญ่
- งานต่อเติม: พื้นลอย ระเบียง โครงหลังคา
- อาคารสำเร็จรูป: โกดัง คลังสินค้า
ข้อดีที่สำคัญของเหล็ก H-Beam
- รับแรงได้ดี: ทั้งแนวตั้งและแนวนอน
- แข็งแรงแต่ประหยัดวัสดุ: น้ำหนักเบากว่าเหล็กตัน
- ใช้งานหลากหลาย: ทั้งงานวิศวกรรมและสถาปัตย์
- ติดตั้งง่าย: เชื่อม เจาะ ประกอบสะดวก
- ทนทาน: เหล็กกล้าคุณภาพสูง อายุการใช้งานนาน
TIP: H-Beam รีดร้อน เหมาะกับงานที่ต้องการโครงสร้างแข็งแรงและสม่ำเสมอ
การเลือกใช้งานให้ถูกต้อง
- เลือกขนาดและความหนา: ตามน้ำหนักที่ต้องรองรับ
- มาตรฐาน: มอก., JIS, ASTM เพื่อคุณภาพและความปลอดภัย
- ลักษณะงาน: กลางแจ้งควรชุบกัลวาไนซ์หรือทาสีกันสนิม
- การติดตั้ง: พิจารณาระยะคานและจุดเชื่อม
- ออกแบบโดยวิศวกร: งานใหญ่ควรออกแบบเฉพาะ
สรุป
เหล็ก H-Beam คือวัสดุหลักในงานโครงสร้างที่ต้องการความมั่นคง แข็งแรง และรับน้ำหนักสูง ใช้งานได้หลากหลายทั้งในงานโครงสร้างทั่วไปและอุตสาหกรรมหนัก หากเลือกใช้อย่างเหมาะสมตามลักษณะงาน จะช่วยเสริมความปลอดภัย ลดต้นทุน และยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างในระยะยาว